การวิจารณ์แก่นเรื่อง (Theme) ที่ปรากฏนวนิยาย
รศ.ดร.ธัญญา สังขพันธานนท์
รศ.ดร.ธัญญา สังขพันธานนท์
๑
.ความหมาย
แก่นเรื่อง (Theme) บางครั้งเรียกว่า สารัตถะ หรือความคิดหลักของเรื่อง อุดม หนูทอง (๒๕๒๓ :
๑๑๙) ให้ความหมายว่า เป็นสาระหรือสัจจะที่ผู้ประพันธ์หยั่งเห็น
เชื่อถือหรือยึดถือ และประสงค์จะสื่อไปยังผู้อ่าน ส่วน กุหลาบ มัลลิกามาส (๒๕๒๙ :
๑๐๙ – ๑๐๘)
ให้ความหมายของแก่นเรื่องว่าคือทรรศนะที่ผู้แต่งแสดงให้เห็นถึงธรรมดา
ธรรมชาติอย่างใดอย่างหนึ่ง (หรือหลายอย่าง) ของมนุษย์ (ชีวทัศน์)
หรือทัศนะที่ผู้แต่งมีต่อโลก (โลกทัศน์)
แล้วนำมาแสดงให้ประจักษ์แก่ผู้อ่านโดยใช้เนื้อเรื่องเป็นเครื่องสื่อสาร
แก่นเรื่องจึงเป็นจุดมุ่งหมายอันเป็นแก่นกลางหรือเป็นแนวคิดหลักของเรื่อง
หรือเป็นสารที่ผู้แต่งต้องการสื่อมายังผู้อ่าน
จากความหมายข้างต้น
อาจสรุปได้ว่า
แก่นเรื่องคือสาระสำคัญที่ผู้แต่งมีจุดประสงค์ต้องการสื่อมายังผู้อ่าน
สาระสำคัญนั้นมักจะเกี่ยวกับความเป็นจริงของชีวิตเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความหยั่งรู้
เข้าใจและเป็นข้อคิดเตือนใจ
แก่นเรื่อง
เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในวรรณกรรมประเภทเรื่องเล่าแต่เรื่องเล่าไม่จำเป็นต้องมีแก่นเรื่องเสมอไป
(Perrine
๑๙๗๘ : ๑๑๒)
เพราะเรื่องแต่ละประเภทจะมีจุดมุ่งหมายแตกต่างกันออกไป
เรื่องตื่นเต้นสยองขวัญมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความหวาดสยองแก่ผู้อ่าน
เรื่องผจญภัยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความตื่นเต้นแก่ผู้อ่าน จุดมุ่งหมายของเรื่องชวนหัวอาจเพียงต้องการให้ผู้อ่านสนุกสนานไปกับพฤติกรรมของตัวละครหรือการจบแบบพลิกความคาดหมาย
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า
แก่นเรื่องจะมีหรือไม่มีนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของเรื่องแต่ละประเภท
และจุดมุ่งหมายที่ต้องการสื่อมายังผู้อ่านเป็นสำคัญซึ่งสอดคล้อง กับความเห็นที่ว่า
แก่นเรื่องใช้ในความหมายสองอย่างคือความคิดอันเป็นศูนย์กลางของเรื่องกับจุดมุ่งหมายอันเป็นศูนย์กลางของเรื่อง
(Stanton ๑๙๖๕ : ๑๙)
๒.ลักษณะของแก่นเรื่อง
แก่นเรื่อง
หรือความคิดอันเป็นศูนย์กลางของเรื่อง มักจะมีลักษณะดังต่อไปนี้
๑.แก่นเรื่องมักจะปรากฏในเรื่องสั้นหรือนวนิยายที่มีจุดมุ่งหมาย
๑.๑ เรื่องที่ผู้เขียนพยายามเสนอหรือตีแผ่ให้เห็นความจริงในชีวิตมนุษย์
ซึ่งเป็นประสบการณ์ร่วม หรือไม่ก็เป็นภาวะอันเป็นธรรมชาติ ธรรมดาของมนุษย์
ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความรู้สึกหรือการแสดงออก เช่น ความรัก ความเกลียดชัง
ความปรารถนา ความโลภ ฯลฯ ตัวอย่างในเรื่องสั้น “จับตาย” ของมนัส จรรยงค์ แสดงธาตุแท้ของมนุษย์ที่รักศักดิ์ศรียิ่งกว่าชีวิตเรื่อง
“จำปูน” ของเทพมหาเปารยะแสดงให้เห็นถึงอานุภาพของความรักที่โลดโผนรุนแรง
ซึ่งบทสรุปของแก่นเรื่องในลักษณะนี้มักจะเป็นไปตามประโยคที่ว่า “มนุษย์เราก็มักเป็นเช่นนี้แหละ”
๑.๒
เรื่องที่ผู้เขียนประดิษฐ์คิดแต่งขึ้น เพื่อพิสูจน์กฎเกณฑ์หรือทฤษฎีเกี่ยวกับชีวิต
โดยการผูกเรื่องให้มีความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ เช่น โครงเรื่อง ตัวละคร ฉาก
หรือการเล่าเรื่อง
เพื่อให้เรื่องดังกล่าวมีความหมายและเป็นตัวพิสูจน์ให้เห็นว่าทฤษฎีหรือสมมุติฐานนั้นเป็นความจริง
หรือมีความเป็นไปได้ แนวคิดและทฤษฎีที่ผู้เขียนมุ่งเสนอแนวคิดเชิงปรัชญา
หรืออภิปรัชญาเช่น นิคม รายยวา เขียนเรื่อง “ตลิ่งสูง
ซุงหนัก” เพื่อต้องการพิสูจน์ความคิดว่ามนุษย์ล้วนแล้วแต่แบกเอาซาก
หรือพันธะไว้ตลอดชีวิต เช่นเดียวกับช้างที่ลากซุงอยู่ริมแม่น้ำที่มีตลิ่งสูง
๒.
แก่นเรื่องอาจมีลักษณะคล้ายคำสอนทางศีลธรรม หรือหลักในการใช้ชีวิต
แต่แก่นเรื่องไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณค่าทางศีลธรรมเสมอไป แก่นเรื่องกับศีลธรรมอาจแทนที่กันได้หรือเป็นอันเดียวกันในบางครั้ง
แต่ก็ไม่ใช่ข้อสรุปที่แน่นอนตายตัว เพราะศีลธรรม มุ่งให้ข้อเตือนใจ
แต่แก่นเรื่องไม่ได้มุ่งสอนหรือให้ข้อคิดเพียงอย่างเดียว
หากแต่มุ่งให้ผู้อ่านได้ตระหนักรู้และเข้าใจชีวิตเป็นสำคัญ ดังนั้นในการพิจารณาค้นหาแก่นเรื่อง
จึงไม่ควรตั้งคำถามว่า “เรื่องนี้สอนอะไร” แต่ควรถามว่า “ เรื่องนี้แสดงอะไรให้เราเห็น”
(Perrine ๑๙๗๘ : ๑๒๒)
๓.บทสรุปเกี่ยวกับแก่นเรื่อง
มักจะเป็นประโยคบอกเล่า ที่รวบรวมเอาความคิดรวบยอด(Concept)
เกี่ยวกับสารสำคัญหรือความคิดอันเป็นศูนย์กลางของเรื่องเอาไว้
ความคิดรวบยอดดังกล่าว จะเกิดขึ้นภายหลังที่ผู้อ่านได้อ่านเรื่องจบลง
หรือสรุปได้ในขณะที่อ่านเรื่อง
ข้อสรุปหรือความคิดรวบยอดเกี่ยวกับแก่นเรื่อง
ในเรื่องสั้นหรือนวนิยายแต่ละเรื่อง ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันเสมอไป
โดยธรรมชาติและความเป็นปัจเจกบุคคล ผู้อ่านแต่ละคนอาจตีความหรือสรุปแก่นเรื่องแตกต่างกันออกไป
เช่นในเรื่องสั้น “จับตาย” ของมนัส จรรยงค์ อาจจะมีบทสรุปเกี่ยวกับแก่นเรื่อง
แตกต่างกันออกไปตามความเห็นของผู้อ่านแต่ละคนดังนี้
-มนุษย์ย่อมรักและหวงแหนศักดิ์ศรีของตัวเอง
-
ความรักทำให้มนุษย์กระทำในสิ่งต่างๆได้โดยไม่กลัวแม้แต่ความตาย
-รักสามเส้าทำให้เกิดปัญหาเสมอ
-ระหว่างหน้าที่และมนุษยธรรม ทำให้คนเรายุ่งยากในการตัดสินใจ
- ลูกผู้ชายฆ่าได้ หยามไม่ได้
๔.แก่นเรื่องมักจะเกี่ยวข้องกับตัวละครเป็นสำคัญ
แต่ตัวละครจะแสดงบทบาทและถูกกำหนดโดยโครงเรื่องอีกทีหนึ่ง ดังนั้นแก่นเรื่อง
จึงมีความสัมพันธ์กับโครงเรื่องโดยตรง
ผู้เขียนจะนำเหตุการณ์ต่างๆมาผูกเขาจนเป็นเรื่อง
เหตุการณ์ดังกล่าวจะช่วยย้ำและเสริมให้แก่นเรื่องเปิดเผยออกมา
จึงกล่าวได้ว่าหากโครงเรื่องเป็นประโยค แก่นเรื่องก็คือวลีนั่นเอง(ชูทิพย์ นาภู
๒๕๒๓ : ๓๓)
๓.การวิเคราะห์และค้นหาแก่นเรื่อง
ในเรื่องบางเรื่อง
แก่นเรื่องอาจปรากฏอย่างชัดเจน
แต่บางเรื่องแก่นเรื่องถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้องค์ประกอบและรายละเอียดต่าง ๆ
การวิเคราะห์ค้นหาแก่นเรื่องจึงต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ
วิธีการง่ายๆ ในการค้นหาแก่นเรื่องก็คือ
การอ่านเรื่องนั้นอย่างระมัดระวัง พิจารณาตัวละครเอก
และการกระทำของตัวละครในสถานการณ์ต่างๆตลอดจนดูน้ำเสียงของผู้แต่งและแง่มุมอื่น ๆ
เช่น การใช้สัญลักษณ์ การอ่านควรกระทำหลาย ๆ ครั้งและอย่างละเอียด
จากวิธีการที่กล่าวมานี้จะช่วยให้ผู้อ่านค้นหาแก่นเรื่องได้
นอกจากนี้แล้ว
การพิจารณาอย่างเรื่องอาจทำได้โดยการสังเกต วิธีการนำเสนอแก่นเรื่องของผู้เขียน
ซึ่งอาจมีวิธีการหรือกลวิธีหลาย ๆ อย่างเช่น (Roberts ๑๙๘๘
: ๑๐๔ – ๑๐๖)
๑.นำเสนอโดยผ่านการบอกเล่าโดยตรงของผู้เขียน
(Direct Statement by the author’s unnamed speaker)
บ่อยครั้งที่ผู้เขียนมักจะแสดงทรรศนะผ่านผู้พูดที่ไม่ปรากฏตัว(Unnamed
Speaker)ซึ่งผู้พูดดังกล่าวอาจจะเป็นผู้เขียนเองหรือไม่ใช่ก็ได้
การแสดงทัศนะในลักษณะนี้ จะช่วยให้การค้นหาแก่นเรื่องทำได้ง่ายขึ้น แต่ผู้อ่านจะต้องพิจารณาความคิดเหล่านี้ให้รอบคอบมากที่สุด
ก่อนจะสรุปว่า นั่นคือแก่นเรื่องที่แท้จริง
๒.นำเสนอโดยผ่านทรรศนะของผู้เล่าเรื่อง
(Direct Statement by the persona)
คำว่าผู้เล่าเรื่องในความหมายของวรรณกรรมประเภทเรื่องเล่า
ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เขียนเสมอไป แต่ผู้เขียนอาจจะให้ตัวละครตัวใดตัวหนึ่ง
เป็นผู้เล่าเรื่องโดยผู้อ่าน จะสังเกตได้ จากการใช้สรรพนามบุรุษต่าง ๆ
เช่นการเล่าโดยสรรพนามบุรุษที่ ๑ (ฉัน,ข้าพเจ้า,ผม) การเล่าโดยใช้สรรพนามบุรุษที่ ๒ (คุณ,ท่าน)
การเล่าโดยใช้สรรพนามบุรุษที่ ๓(เขา,หล่อน,เธอ) ซึ่งในบางครั้ง ผู้เขียนอาจฝากความคิด
หรือทัศนะที่เป็นแก่นเรื่องผ่านคำพูด หรือการนึกคิดของผู้เล่าเรื่องออกมา
การเสนอแก่นเรื่องในลักษณะนี้อาจไม่ปรากฏอย่างชัดเจนเพียงครั้งเดียว
แต่ผู้วิจารณ์จะต้องพิจารณาทรรศนะและน้ำเสียงของผู้เล่าเรื่องตลอดทั้งเรื่อง
แล้วนำมาปะติดปะต่อหรือสรุปเป็นแก่นความคิดออกมาให้ได้
๓.นำเสนอโดยผ่านการกระทำของตัวละคร
(Dramatic Statement made by the
Character)
โดยวิธีการนี้ผู้เขียนอาจไม่แสดงแนวคิดออกมาตรง
ๆ แต่จะให้ตัวละครแสดงพฤติกรรมและกระทำในสิ่งต่างๆตามสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป
และการกระทำหรือพฤติกรรมดังกล่าวนี้
จะเป็นแนวทางให้ผู้อ่านตีความและอาจมองเห็นความคิด อันเป็นแก่นเรื่องได้ ดังเช่น
ในเรื่องสั้น “หม้อที่ขูดไม่ออก” ของอัญชัน
ผู้เขียนกำหนดให้ตัวละครเอกที่เป็นภรรยาผู้เกรงใจสามีกระทำ
และถูกกระทำครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งการกระทำนั้นทำให้ผู้อ่านสรุปแล้วเห็นได้ว่า “ผู้หญิงถูกกดขี่และเอาเปรียบจากเพศชายเสมอ” อันเป็นแก่นเรื่องของเรื่องสั้นนี้
๔.นำเสนอโดยผ่านภาษาอุปมา
(Figurative Language)
นักเขียนบางคน
จะใช้ภาษาในลักษณะของการอุปมาเปรียบเทียบหรือใช้สัญลักษณ์เพื่อสื่อแก่นเรื่อง
การอุปมาอาจจะอยู่ในบทสนทนา การบรรยาย หรือแม้แต่ในชื่อเรื่อง เช่น เรื่องสั้น “หม้อที่ขูดไม่ออก” ของอัญชัน
หม้อที่ขูดไม่ออกแทนการกดขี่สตรีเพศ ที่ไม่เคยหมดสิ้นไปจากสังคม
ที่ถือเพศชายเป็นใหญ่ นวนิยายเรื่อง “ปูนปิดทอง” ของกฤษณา อโศกสิน (พระปูนที่ปิดด้วยทองคำเปลว หมายถึง
พ่อแม่ที่ไม่รับผิดชอบในภาระหน้าที่ และบทบาทของพ่อแม่ทำให้ครอบครัวแตกร้าวและลูก
ๆ เป็นผู้รับกรรม)
๕.นำเสนอโดยผ่านตัวเรื่องทั้งหมด
(The works itself as it represents ideas)
โดยวิธีการนี้
แก่นเรื่องจะถูกเปิดเผยออกมา ก็ต่อเมื่อผู้อ่านได้อ่านเรื่องนั้น ถึงตอนจบ
การอ่านเรื่องที่เสนอแก่นเรื่องโดยวิธีนี้ผู้อ่านควรพิจารณาองค์ประกอบทั้งหมดอย่างรอบคอบ
และจะไม่สามารถสรุปแก่นเรื่องได้เลยหากยังอ่านเรื่องทั้งหมดไม่จบ
๔.การประเมินค่าแก่นเรื่อง
สาระสำคัญในการประเมินค่าแก่นเรื่อง
คือการพิจารณาถึงคุณค่าของแนวคิด
อันเป็นศูนย์กลางของเรื่องและการพิจารณาถึงความสำเร็จ ในการสื่อแก่นเรื่อง ซึ่งผู้วิจารณ์อาจใช้เกณฑ์ต่อไปนี้เป็นแนวในการวินิจฉัย
๑.เกณฑ์เกี่ยวกับความสมจริง
การพิจารณาความสมจริงของแก่นเรื่องมีสองลักษณะ คือ
ก. ความสมจริงตามความเป็นจริงภายนอก
กล่าวคือ แก่นเรื่องที่ดีจะต้องมีความสมจริง
มีเหตุผลและเป็นไปได้เมื่อเทียบกับความเป็นจริงภายนอก
คือความจริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ หรือเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับสามัญวิสัยของปุถุชนอันเป็นลักษณะที่เรียกว่า
“ธรรมดาโลก”
ข.ความสมจริงภายในตัวเรื่อง
เรื่องบางเรื่องผู้แต่งอาจจะมีจุดมุ่งหมายเพื่อเสนอหรือพิสูจน์ทฤษฎีหรือแนวคิดเกี่ยวกับชีวิต
ดังนั้นในการผูกเรื่องจึงสร้างองค์ประกอบต่าง ๆ ให้เป็นเหตุเป็นผลและสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว
ในการพิจารณาความสมจริง ตามลักษณะนี้ผู้วิจารณ์จะต้องสังเกตดูว่า
แก่นเรื่องที่นำเสนอมีความสอดคล้องกับองค์ประกอบต่าง ๆ
หรือไม่หรือมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด
ความสมจริงในตัวเรื่องอาจจะเป็นคนละอย่างกับความสมจริงภายนอกก็ได้
๒.เกณฑ์เกี่ยวกับคุณค่า
แก่นเรื่องที่ดีไม่จำเป็นต้องมีคุณค่าในเชิงสั่งสอนหรือคุณค่าทางด้านศีลธรรมเสมอไป
แต่ควรจะช่วยตีแผ่ เปิดเผยให้เห็นลักษณะและธรรมชาติของมนุษย์
ตามความเป็นไปของสังคม
และของโลกอย่างชัดเจนทั้งยังช่วยให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจต่อสิ่งดังกล่าวได้กว้างขวาง
และลึกซึ้งยิ่งขึ้น
นอกจากนี้แก่นเรื่องที่ดีควรจะเป็นแนวคิดที่สร้างสรรค์ยกระดับจิตใจของผู้อ่าน
มากกว่าเป็นแนวคิดที่สุดรั้งให้จิตใจตกต่ำหรือท้อถอย
๕.ตัวอย่างการวิเคราะห์และประเมินค่าแก่นเรื่อง
วิจารณ์แก่นเรื่อง เรื่องสั้น “คนบนต้นไม้” ของนิคม รายยวา
“คนบนต้นไม้” ของนิคม
รายยวา เป็นเรื่องราวของชาวนาคนหนึ่ง
ที่ประสบความล้มเหลวจากการทำนาและการหาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบลำไพ่อื่น ๆ
เขาเรียนรู้ว่าตนเอง ซึ่งมีฐานะด้อยกว่า มักจะถูกเอารัดเอาเปรียบและคมเหงอยู่เสมอ
ซึ่งก็เช่นเดียวกับเพื่อนบ้านคนอื่น ๆ ที่มีฐานะใกล้เคียงกับเขา แม้เขาจะรู้ แต่ก็ไม่เข้าใจ
ว่าทำไมจึงมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นและดำรงอยู่ จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเขาปีนต้นไม้เพื่อจับลูกนกสาลิกาไปขาย
เขาก็รู้สึกว่าพวกนกที่อยู่บนต้นไม้ช่างมีความสุข น่าอิจฉาไม่มีการเบียดเบียนกัน เขาจึงคิดอยากมาอยู่บนต้นไม้บ้าง
ด้วยหวังว่าคงไม่มีใครมารบกวนเขาเหมือนกับอยู่ข้างล่าง แต่เขาเพียงคิดเท่านั้นเพราะในที่สุดก็จับลูกนกออกจากโพรงของมันจนได้
ในขณะที่พ่อแม่นกบินโฉบไปมาและร้องลั่นเรากับหัวใจจะแตกสลาย
ความคิดสำคัญที่นิคม
รายยวาต้องการเสนอก็คือ ความจริงที่ว่าสัตว์โลกต่างก็เบียดเบียนรังแกซึ่งกันและกันเสมอ
พวกที่มีกำลังและอำนาจเหนือกว่า
ก็รังแกผู้ที่ด้อยกว่าไม่เว้นว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน
เรื่องสั้นเรื่องนี้สั้นและกระชับ
แต่ก็สื่อความหมายได้ครบถ้วน ตามที่ผู้เขียนต้องการ ผู้เขียนได้ใช้ “คนบนต้นไม้”และการกระทำของเขา เป็นตัวแทนของปรากฏการณ์และความเป็นจริงดังกล่าว
ผู้อ่านจะต้องตีความสัญลักษณ์ที่ผู้เขียนนำเสนอไม่ว่าจะเป็นคนบนต้นไม้หรือพ่อแม่นกและลูกนกสาลิกา ซึ่งก็เป็นสัญลักษณ์ที่ง่ายต่อการสร้างนัยประหวัดและเทียบเคียงว่าผู้เขียนต้องการสื่อถึงเรื่องใด
นิคม รายยวา เป็นนักเขียน
ที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังสิ่งที่เขาเขียนเสมอ
กล่าวคือเขาจะไม่แสดงทรรศนะหรือน้ำเสียงออกมาให้ผู้อ่านสังเกตได้
แต่จะสื่อผ่านตัวละคร ทั้งคำพูด การกระทำและเค้าโครงเรื่อง
รวมไปถึงการจัดวางองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น ฉากและบทสนทนา
ให้มีความสอดคล้องและเอื้อต่อการแสดงแก่นความคิด
ในเรื่องสั้นเรื่องนี้ก็เช่นกัน แก่นเรื่องจะปรากฏขึ้นทันทีที่ผู้อ่าน
อ่านเรื่องจบลง
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าในเรื่องนี้ผู้เขียนได้แย้มพรายให้เห็นแก่นความคิดไว้ทั้งในตอนต้นและตอนท้ายของเรื่อง
โดยผ่านบทสนทนาของเพื่อนบ้านที่ว่า “
เรามักจะเจอเรื่องเหมือน ๆกัน มีทุกข์มีสุข มีได้มีเสีย เอารัดเอาเปรียบ
เบียดเบียนกันเอาแต่ตัวรอด
และในตอนที่ชายหนุ่มคิดคำนึง
เมื่อขึ้นไปอยู่บนยอดไม้ซึ่งก็ช่วยชี้นำให้ผู้อ่านเข้าใจกันเรื่องได้ง่ายขึ้น
สิ่งที่นิคม รายยวา
นำเสนอในเรื่องนี้ไม่ใช่คำสอนเชิงศีลธรรม แต่เป็นการเปิดเผยให้เห็นธรรมชาติของมนุษย์และสัจจะธรรมในการดำรงชีวิตของสัตว์โลก
ผู้เขียนเป็นคนเข้าใจและยังมองเห็นต่อไปอีกว่า
แม้คนเราจะตระหนักรู้ในความเป็นจริงข้อนี้ แต่เราก็ยังคงปฏิเสธและกระทำอยู่
ดังเช่น ชายบนต้นไม้ที่แม้เขาจะรู้ถึงภาวะของการเอารัดเอาเปรียบกัน แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยังเป็นฝ่ายกระทำนั้นเสียเอง
เข้าทำนองที่ว่า “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง”
ที่มา วรรณกรรมวิจารณ์
ขอบคุณมากครับสำหรับความกระจ่างที่ได้รับจากแนวทางที่ยอดเยี่ยมครับ
ReplyDeletehttps://www.simpletitle.net/theme.html/